วันเสาร์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ประเด็นโลกแตก

สิ่งที่จะเกิดขึ้นจริง ตามปฏิทินชาวมายา

เปิดประเด็น! สิ่งที่จะเกิดขึ้นจริง ตามปฏิทินชาวมายา

โดย ชัชรินทร์ ไชยวัฒ

เป็นอันว่า...โลกก็ไม่ได้แตก ไม่ได้บุบสลายใดๆแม้แต่น้อย เมื่อถึงกำหนดวันที่ 21 ธันวาคม 2012 วันแห่งการสิ้นสุดช่วงระยะเวลาที่เรียกว่า "ยุคตะวันที่ 5"  ตามปฏิทิน Long Count ของชาวมายา แต่นั่นก็คงไม่ได้หมายความว่า ในวันนี้ หรือนับจากนี้ต่อไปจะ "ไม่เกิดอะไรเลย" เอาง่ายๆ...ไม่ต้องเสียเวลาไปฟังข่าวลือ ข่าวลวงที่ไหนก็ได้ แค่ใช้ประสาทสัมผัสพื้นฐาน จากเนื้อหนัง ร่างกาย เป็นเครื่องวัด เครื่องชี้ ก็น่าจะพอสรุปได้แล้วว่า ณ วันนี้ ชั่วโมงนี้ โลกใบนี้ไม่ได้เหมือนเดิม หรือกำลังเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อย่างเห็นได้ชัดเจนโดยไม่พึงสงสัย...

เรียกว่า...ขนาดเข้าสู่ช่วงปลายๆธันวาฯเข้าไปแล้ว ใกล้จะฉลองคริสต์มาส ฉลองวันส่งท้ายปีเก่า-ต้อนรับปีใหม่อยู่มะรอมมะร่อ แต่กลิ่นอายของฤดูหนาว แทบไม่ได้โผล่มาให้เห็น ให้สัมผัสได้ แบบเดิมๆเอาเลยแม้แต่น้อย อย่างที่เคยว่าเอาไว้แล้วนั่นแหละว่า บางครั้ง บางครา ถึงขั้นตอนแก้ผ้าโดดลงไปนอนแช่น้ำในอ่าง ถึงจะปรับตัว ปรับอุณหภูมิในร่างกาย ให้เข้ากับสภาวะความเป็นไปของอุณหภูมิ อากาศ ได้บ้าง ความวิปริต ผิดเพี้ยน ของฤดูกาลที่ปรากฏให้เห็นได้โดยชัดเจน สามารถรับรู้ได้ สัมผัสได้ ไปถ้วนทั่วทุกตัวคนนั่นเอง ก็คือข้อพิสูจน์ ยืนยัน ถึงความเปลี่ยนแปลง ในระดับเปลี่ยนยุค เปลี่ยนสมัย เป็นไปตามกำหนดการในปฏิทินชาวมายาจริงๆนั่นแหละ...

คือความเป็นไปตามฤดูกาล ซึ่งเคยมีมาในตลอดช่วงระยะเวลา 5,125.36 ปี หรือประมาณ 1,872,000 วัน ตลอดช่วงยุคตะวันที่ 5 นั้น เมื่อมาถึง ณ ขณะนี้ มันได้แสดงให้เห็นถึงการผันเปลี่ยนไปอย่างชนิดไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ช่วงเวลาตั้งแต่เดือนตุลาคมในปีหนึ่ง ไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ในอีกปีหนึ่ง ที่เราเคยเรียกๆกันว่า "ฤดูหนาว"นั้น มาบัดนี้...จะเรียกว่าฤดูอะไรก็แทบสรุปไม่ได้ เพราะบางช่วงจู่ๆมันก็มีฝนตกซู่ๆ ตามมาด้วยพายุใหญ่ ไม่ต่างอะไรไปจากฤดูมรสุมเอาเลยถึงขั้นนั้น บางช่วงก็ทั้งร้อน ทั้งแล้ง ไม่ต่างอะไรไปจากฤดูร้อน จะมีความเย็น ความชื้นโผล่แทรกเข้ามาบ้าง ก็แค่บางช่วง บางตอน ซึ่งเป็นแค่ช่วงสั้นและน้อยเกินกว่าจะไปเรียกว่าฤดู

หรืออาจเรียกได้ว่า...นับจากวันที่ 21 ธันวาคม 2012 เป็นต้นไป แม้ว่าเราจะไม่ต้องเจอกับพายุสุริยะพุ่งทะลุสนามแม่เหล็กโลกเข้ามาทำอะไรต่อมิอะไรอย่างที่เคยพูดๆกันไว้ ไม่ต้องเจอกับดาวนิบิรุวิ่งฉวัดเฉวียนเข้ามาเขย่าขวัญสั่นประสาทใครต่อใครเหมือนในหนังฮอลลีวู้ด แต่เรากำลังต้องเจอกับโลกแบบใหม่ ที่มีอุณหภูมิอากาศแบบใหม่ และจะมีผลต่อสรรพสิ่งทุกสรรพสิ่งที่อยู่ภายในโลกใบนี้อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้เลย ไม่ว่าพื้นดิน ภูเขา แม่น้ำ ลำธาร มหาสมุทร สิ่งมีชีวิตระดับเล็กๆตั้งแต่ชนิดไม่สามารถมองได้ด้วยตาเปล่า ประเภทเชื้อโรคนานาชนิด ไปจนถึงพืช ผัก ผลไม้ สัตว์ป่า สัตว์น้ำ ฯลฯ และแม้กระทั่งมวลมนุษย์อย่างเราๆ-ทั่นๆ ยังไงๆย่อมมิอาจหลีกหนีไปจากอิทธิพลเหล่านี้ได้โดยเด็ดขาด...

สภาพพื้นดินที่เปลี่ยนไปมันจะส่งผลอะไรขึ้นมาบ้าง แม่น้ำ ลำธาร ธารน้ำแข็งที่กำลังเหือดแห้งและหดหายลงไปอย่างเห็นได้ชัดเจนมันจะนำพาสิ่งใดมาสู่ผู้ที่อยู่ต้นน้ำ ปลายน้ำ ที่ล้วนแล้วแต่อาศัยสายน้ำแต่ละสายเป็นสถานที่ก่อร่างสร้างอารยธรรมแต่ละรูปแต่ละแบบมาตั้งแต่ครั้งโบร่ำ โบราณ ด้วยกันทั้งสิ้น ในขณะที่เชื้อโรค หรือโรคระบาดแบบเก่าค่อยๆสูญหายไปจากโลกทีละโรคสองโรค แต่ภายใต้อุณหภูมิอากาศแบบใหม่ มันจะส่งผลให้ไวรัสตัวหนึ่ง ตัวใด วิวัฒนาการไปสู่การเป็นเชื้อโรคแบบใหม่ หรือโรคระบาดแบบใหม่ที่เราไม่เคยรู้จักก่อนมาก่อนได้อีกกี่รูป กี่แบบ พืช ผัก ผลไม้ ที่เคยปลูกได้ กินได้ ถูกนำมาใช้เป็นอาหารหล่อเลี้ยงสรรพสัตว์และชาวโลกมาตั้งแต่ครั้งอดีต มันจะต้องสิ้นสูญลงไปอีกซักกี่ร้อย กี่พัน กี่หมื่นสายพันธุ์ สัตว์ป่า สัตว์น้ำ ที่มันไม่สามารถดิ้นรนปรับตัวไปตามสภาพความเปลี่ยนแปลงได้จริงๆ มันจะต้องสูญพันธุ์ไปจากโลกใบนี้อีกซักกี่ร้อย กี่พัน หรือกี่หมื่นสปีชีส์ฯลฯ...

ส่วนมนุษย์อย่างเราๆ-ทั่นๆ ที่แม้จะถือกันว่าเป็นผู้ที่อยู่บนสุด หรือสูงสุดของห่วงโซ่อาหารทั้งหลาย มีปัญญา มีความคิด มากพอที่จะปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมในแต่ละชนิดมาตั้งแต่ยุคน้ำแข็งผ่านมา ผ่านไป ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ แต่ภายใต้การปรับตัวในแต่ละครั้ง แต่ละครา คงปฏิเสธไม่ได้อีกเช่นกันว่า...ย่อมส่งผลให้พฤติกรรมอุปนิสัย ใจคอ ตลอดไปจนประเพณี วัฒนธรรม และองค์ประกอบต่างๆในการใช้ชีวิต ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย หรือพูดง่ายๆว่า...บรรดามวลมนุษย์ที่เราเคยรู้จักมักคุ้นมาตั้งแต่รุ่นทวดของทวด ปู่ของปู่ พ่อของพ่อ อาจกลายเป็นผู้ที่มวลมนุษย์นับแต่ยุคนี้ จำหน้า จำตา แทบไม่ได้อีกต่อไปแล้ว...

อะไรที่เคยเป็นความงาม ความดี เคยเป็นสิ่งที่ถูกนำเอามาปรับใช้ให้เป็นพื้นฐานทางอารยธรรม ทางวัฒนธรรม ประเพณี หรือทางกฏหมาย เพื่อให้มวลมนุษย์ในช่วงเท่าที่ผ่านมาเคยสามารถอยู่ร่วมกันได้โดยสันติ ด้วยความสุข ความสงบไปตามอัตภาพ มาบัดนี้มันอาจกลายเป็นสิ่งที่กำลังใกล้จะสูญสิ้น สูญสลาย ลงไปในอีกไม่นานไม่ช้า ไม่ต่างไปจากคำทำนายในพระคัมภีร์ทางศาสนาแทบทุกศาสนานั่นแหละ หรือแม้กระทั่งคัมภีร์พระไตรปิฏกของชาวพุทธอย่างเราๆก็เคยสรุปเอาไว้ ถึงการเปลี่ยนแปลงทางด้านพฤติกรรม อุปนิสัยใจคอ ตลอดไปจนค่านิยมทางสังคมของมวลมนุษย์ในยุคๆหนึ่งเอาไว้อย่างชัดเจน ยุคที่ความไม่งาม ความอัปลักษณ์ ความต่ำทราม จะถูกนำเอามาแทนที่ความงามทั้งหลาย ยุคที่ความชั่วจะถูกนำมาใช้เป็นมาตรฐานแทนความดี ชนิดที่ "กุศลกัมบท 10 ประการ (หนทางแห่งความดี 10 ประการ) จะสูญหาย"และ "อกุศลกัมบท 10 ประการ (หนทางแห่งความชั่ว 10 ประการ) จะเป็นที่ยกย่อง เชิดชู บูชา"....

และถ้าหากจะถามว่า...ภายใต้สภาพเช่นนี้อะไร?จะเกิดขึ้นภายในอนาคตเบื้องหน้า พระคัมภีร์ไตรปิฏกก็ได้สรุปคำตอบเอาไว้อย่างแจ่มแจ้ง ชัดเจน ดังนี้... "จะเกิดมีสัตถันตรกัปป์ คือกัปป์ซึ่งอยู่ในระหว่างศัตรา 7 วัน คนทั้งหลาย จะมีความสำคัญในกันและกันว่าเป็นเนื้อ (มิคคสัญญา) จะมีศัตราอันครบกริบเกิดขึ้นในมือ และจะฆ่ากันและกันด้วยสำคัญว่าเป็นเนื้อ" หรือที่เรียกง่ายๆว่า "ยุคมิคสัญญี" หรือ "มิคสัญญียุค"นั่นเอง ซึ่งก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากพระคัมภีร์ไบเบิล พระคัมภีร์อัล-กุรอ่าน ที่บรรดานักการศาสนาในแต่ละศาสนาได้อาศัยวิสัยทัศน์ ปรีชาญาน วิเคราะห์ความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ทำนองนี้ เอาไว้ในฉากสถานการณ์ก่อนวันสิ้นยุค หรือวันแห่งการพิพากษานั่นเอง...


ด้วยเหตุนี้...ถึงจะไม่มีดาวนิบิรุโผล่เข้ามาในเส้นวงโคจรของโลก ไม่มีพายุสุริยะพุ่งตัดสนามแม่เหล็กโลกเข้ามาสร้างความระเคือง ระคายใดๆกันชนิดต่อหน้าต่อตา ไม่มีแผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด คลื่นยักษ์สึนามิสาดเข้ามาสร้างความปั่นป่วนให้กับฝั่งทวีปใดๆก็ตาม แต่นั่นก็คงไม่ได้หมายความว่า"ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย" เพราะอย่างที่ว่าเอาไว้ข้างต้นนั่นแหละว่า...แค่ใช้ประสาทสัมผัสธรรมดาๆ ก็สามารถสัมผัส รับรู้ ถึง "ความเปลี่ยนแปลง"ของโลก ของอุณหภูมิอากาศ หรือบรรยากาศที่ห่อหุ้มโลกทั้งโลกเอาไว้ได้อย่างชัดเจน ยิ่งถ้าหากใช้ประสาทสัมผัสด้านหู ด้านตา ให้เป็นประโยชน์ได้อย่างจริงๆจังๆแล้ว ก็จะพบเห็นได้ไม่ยากว่า...พฤติกรรม อุปนิสัยใจคอตลอดไปจนความเป็นไปต่างๆของมวลมนุษย์ ไม่ว่าในสังคมไทย หรือสังคมโลกก็ตาม เอาไป-เอามาแล้ว...มันกำลังนำพาใครต่อใครให้ค่อยๆเลื่อนไหลเข้าไปสู่ฉากเหตุการณ์แบบ "มิคสัญญียุค"ยิ่งขึ้นๆทุกที...หนาวได้แบบเต็มปากเต็มคำ...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น